หนังอังกฤษที่อิงจากชีวประวัติของ Alan Turing
นักคณิตศาสตร์ ผู้เข้าร่วมโครงการลับของรัฐบาลเพื่อรวมทีมผู้เชี่ยงชาญมาทำงานอันหนึ่ง เป็นงานสำคัญในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
แม้ว่าโดยสภาพงานที่ Alan Turing ไปร่วมทำนั้น เป็นงานในออฟฟิศ ไม่ได้ออกไปสู้รบบู๊ล้างผลาญแอ๊คชั่นอะไร ก็นั่งคิดค้นคำนวณอะไรบางอย่าง กลับเป็นงานที่มีผลต่อการแพ้ชนะของสงครามในขณะนั้นเลยทีเดียว
งานที่ว่า มีความหมายและนัยต่อสิทธิส่วนบุคคลและประเด็นยอดนิยมในบ้านเมืองเราอันหนึ่งแบบอ้อมๆในขณะนี้ ซึ่งมันก็คืองานเกี่ยวกับการดักฟังหรือดักรับข้อมูลการสื่อสารนั่นเอง เป็นการดักฟังการสื่อสารของพวกนาซี เนื้อความการสื่อสารจะเกี่ยวกับรายละเอียดการรบ แผนการโจมตี หากรู้เนื้อหาดังกล่าว ก็จะพลิกบทบาทการมีชัยหรือพ่ายแพ้ในสงครามได้เลย
แต่ที่Alan Turing และทีมงานผู้เชี่ยวชาญในโครงการนี้หมกตัวทำกันอยู่ใน Bletchley Park (ซึ่งก็เป็นโครงการลับของรัฐบาล) นั้นแม้ไม่ใช่ดักฟังโดยตรงแต่ก็เป็นผลเกี่ยวเนื่องกับการดักฟัง เพราะมันคือการ แปล เนื้อหาที่ดักฟังการสื่อสารมาได้
การสื่อสารของพวกนาซีในยุคนั้น คงไม่ได้แชทส่งไลน์บอกกันว่าจะให้เรือดำน้ำมายิงระเบิดฝ่ายสัมพันธมิตรที่ไหน เวลาใด แม้ว่าทหารนาซีบางคนอาจจะอยากโพสต์ท่าตอนจะกดยิงจรวดเพื่ออวดคนในเอเชียหรืออีกซีกโลก ก็คงไม่มีอุปกรณ์หรือสื่อใดให้ทำได้ หรือถ้าหากจะทำได้ ฮิตเลอร์ก็คงเอาไปประหารจนไม่มีใครกล้าเอาความลับมาโพสต์อีก อะไรก็แล้วแต่
ประเด็นก็คือ พวกนาซีสื่อสารข้อมูลแผนการรบโดยใช้เครื่องมืออุปกรณ์พิเศษ ที่เรียกว่า Enigma คล้ายๆเครื่องพิมพ์ดีดกระเป๋าหิ้ว (ถ้าใครยังเคยใช้หรือเคยเห็นเครื่องแบบนั้น)
การดักฟังหรือดักรับข้อมูลจากเครื่องดังกล่าว ก็ไม่ใช่จะทำโดยง่าย แม้ฝ่ายสัมพันธมิตรจะยึดหรือเอาเครื่องที่ว่ามาได้สักเครื่อง และรับข้อมูลการสื่อสารได้ ก็ไม่รู้เนื้อหาอยู่ดี เพราะเครื่องดังกล่าวมันส่งข้อมูลระหว่างกันเป็นรหัส รหัสที่มีความเป็นไปได้มากมายในการจะคาดเดาหรือถอดออกมา มากมายจนว่ากันว่าใช้เวลาอีกหลายปีหลังสงครามเลิกกันแล้วยังคงนั่งถอดรหัสหาความเป็นไปได้กันอยู่นั่น
Alan Turing และทีมงานก็เลยมารับจ๊อบสำคัญนั่งหาทางถอดรหัสเครื่องนี้อยู่ใน Bletchley Park ของอังกฤษนั่นเอง
ในแง่มุมสิทธิส่วนบุคคลและการคุ้มครองข้อมูลแล้ว มีข้อน่าคิดหลายอย่าง ดังเช่น
-ดูเหมือนว่า การดักรับข้อมูลและการถอดรหัสที่อีกฝ่ายพยายามอย่างเหลือเกินที่จะทำให้เป็นความลับ กลายเป็นสิ่งดีงาม คนถอดรหัสการสื่อสารของคนอื่น กลายเป็นฮีโร่
แต่ในแง่นี้ ก็มีเหตุผลโต้แย้งว่า การดักฟังและถอดรหัสการสื่อสาร ซึ่งก็แน่นอนว่าโดยหลักแล้วเป็นการละเมิดสิทธิในการสื่อสารข้อมูลของนาซี เป็นการกระทำที่ควรแก่การได้รับการยกเว้น เห็นใจ รวมทั้งชื่นชมสนับสนุน อันเนื่องมาจากเหตุผลเพื่อ “ความมั่นคง” ตลอดจน ความสงบเรียบร้อย ปลอดภัยของประชาชนจำนวนมาก ที่จะได้รับผลกระทบจากการโจมตีของนาซี
น่าจะเป็นเหตุผลคลาสสิคที่เกี่ยวกับ “Security” ที่พูดถึงกันมากในปัจจุบัน โดยเฉพาะในไทยตอนนี้
อีกอย่างในกรณีนี้เป็นการทำสงคราม ในช่วงการทำสงคราม ก็มักจะเป็นเหตุที่นำมาสู่เหตุผลสำคัญสำหรับการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารเพื่อความมั่นคงและปลอดภัยอยู่แล้ว ยิ่งในกรณีนี้คู่กรณีคือคู่สงครามด้วยกัน ไม่ใช่การสื่อสารระหว่างประชาชนต่อประชาชน นาซีก็คงไม่สามารถอ้างสิทธิส่วนบุคคลในการสื่อสารได้
*****
รัฐหนึ่ง ตั้งโครงการลับพร้อมทีมงานลับ ทำการกันอย่างลับๆ เพื่อทำการดักรับข้อมูลและถอดรหัสลับ ของอีกรัฐหนึ่ง
ทุกอย่างเกี่ยวข้องกับความลับ และมันก็ลับต่อมาอีกหลายสิบปี
กรณีจะเปลี่ยนไปมาก หากเป็น “รัฐหนึ่ง ตั้งโครงการลับ พร้อมทีมงานลับ ทำการลับๆ เพื่อักรับข้อมูลสื่อสารของประชาชนในรัฐนั้น”
และนี่คือสิ่งที่คนยุคนี้วิตกกันมากกว่ายุคนาซี
********
ประเด็นกฎหมายสิทธิส่วนบุคคลที่น่าเศร้ามีหลายประเด็น เช่น
-ประเด็นสิทธิมนุษยชนหรือสิทธิของเพศที่สาม ทั้งนี้เพราะหนังแสดงว่า Alan Turing ถูกขุดคุ้ยประวัติว่าเป็นพวกรักร่วมเพศ จนทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงแถมถูกลงโทษด้วยโทษแปลกๆ คือให้ฉีดยาบางอย่างซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพและชีวิตของเขา (ตามกฎหมายอังกฤษขณะนั้นกำหนดโทษสำหรับผู้รักร่วมเพศ : Section 11 of the Criminal Law Amendment Act 1885) แล้วพอมาอีกยุคหนึ่งก็มีการอภัยโทษให้ Alan Turing ผู้ถึงแก่กรรมไปแล้ว และ ก็มีประเด็นน่าคิดว่า ผู้ที่ถูกลงโทษนี้คนอื่นๆอีกหลายคนเล่า จะได้รับการอภัยด้วยหรือไม่ ยิ่งกว่านั้น หากได้รับการอภัยย้อนหลังไปแล้ว จะช่วยอะไรพวกเขาเหล่านี้ได้
-ผมได้เห็นประเด็นที่น่าเศร้าอีกประเด็นที่ไม่ค่อยมีนักวิจารณ์หนังพูดถึง ในหนังจะมีตำรวจคนหนึ่ง ซึ่งพยายามจะหาข้อหาอะไรสักอย่างมาดำเนินคดี Alan Turing ให้ได้ ไม่ว่าจะเริ่มจากข้อหาเป็นสปายให้กับนาซี ข้อหากบฏ ฯลฯ
ในขณะที่ Alan Turing ก็ทำงานนั่งถอดรหัสและสร้างเครื่องถอดรหัสเพื่อช่วยรัฐบาลอังกฤษและสัมพันธมิตรอยู่อย่างยากเย็น ในอีกด้านหนึ่ง เจ้าหน้าที่ของรัฐเดียวกันนั่นแหละ ก็พยายามหาหลักฐานมาดำเนินคดีเขาให้ได้ มันน่าเศร้าแต่ก็สะท้อนและเสียดสีกระบวนการยุติธรรมได้เป็นอย่างดี มากๆ
การสืบข้อมูลของ Alan Turing ที่กระทำโดยตำรวจคนนี้ แสดงถึงการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลมากมาย เช่น ไปสืบหาข้อมูลในอดีต หาข้อมูลจากแฟ้มลับหรือ “classified” , หนังแสดงให้เห็นวิธีการที่ “ไม่ชอบด้วยกฎหมาย” ของ ตำรวจคนนี้ เช่น แก้ไขเปลี่ยนแปลงจดหมาย (ถ้าเทียบกับกฎหมายไทยปัจจุบันก็เป็นความผิดฐานปลอมเอกสาร) ทั้งนี้เพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลของ Alan Turing มากที่สุด
Alan Turing ผู้มีส่วนสำคัญในการ ดักรับข้อมูล และ ถอดรหัสลับของนาซี เพื่อรัฐบาลและชาติของตน ในอีกด้านหนึ่ง แกก็ถูก ล่วงละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลอยู่เช่นกัน โดยเจ้าหน้าที่รัฐบาลของตนนั่นแหละ
มันเป็นสิ่งดีหรือไม่ ไม่ทราบ แต่มันเป็นการเสียดสีที่งดงาม และ ประทับใจผมที่สุดแล้วในหนังเรื่องนี้
สุดท้าย ท่านตำรวจหาหลักฐานการเป็นกบฏหรือสปายอะไรก็ไม่ได้ ไปๆมาๆ เลยได้หลักฐานว่าเขาเป็นพวกรักร่วมเพศ Alan Turing ก็เลยถูกดำเนินคดีด้วยเหตุประการฉะนี้
นี่ก็เป็นอีกประเด็น ของการสืบสวนสอบสวนที่กระทบสิทธิส่วนบุคคล คือ หาหลักฐานความผิดหนึ่ง แต่ไปได้หลักฐานในอีกความผิดหนึ่ง ….เหมือนกับการดักฟังที่หากเราดักฟังทั้งหมดของบทสนทนา เพื่อจะหาความผิดหนึ่ง แต่มันไปได้ความผิดอื่นมาด้วย
สุดท้าย เพื่อนร่วมงานของตำรวจท่านนั้น ก็เอาหนังสือพิมพ์ที่พาดหัวว่า Alan Turing ถูกลงโทษ มาวางให้แล้วบอกว่า ยินดีด้วย
ใครได้อะไรบ้างจากการนี้ มันน่ายินดีหรือไม่ ไม่ทราบ ตอนนั้นตำรวจท่านนั้นอาจไม่ยินดีแล้วก็ได้ แต่กระบวนการ “ยุติธรรม” ก็ต้องดำเนินไปตามระบบและแบบแผนของมัน
ท้ายที่สุด ข้อคิดดีๆ จากหนังเรื่องนี้ สรรพสิ่งล้วนแตกต่างกัน …..
….machines can’t think as people do…..they think differently….., just because something thinks differently from you, does that mean it’s not thinking? ….